00:01:56
วันนี้เราจะมาเรียนเรื่องโโ cutaneous
00:02:00
disorder โรค
00:02:07
กลุ่มอ่าวันนี้จะเรียนเรื่อง mucous
00:02:12
disorder นะครับอันนี้ชื่อโรค
00:02:16
เนี่ยตามตำแหน่งที่โลกมันจะเกิดคือที่วั
00:02:21
โคก็คือวัเน cous ก็คือเกิดที่ผิวหนังก็
00:02:26
คือโรคในกลุ่มเนี้ยจะเกิดได้ทั้งที่ผิว
00:02:29
หนังแล้วก็มีค mem หรือโรคในกลุ่มนี้อาจ
00:02:33
จะเรียกอีกอย่างนึงว่าเป็น
00:02:35
vascular
00:02:37
diseases อันนี้เรียกตาม clinical
00:02:40
presentation ของโลกทางคลินิคในในลักษณะ
00:02:44
เป็น vesical หรือ
00:02:47
Bull อันนี้เราก็ต้องมารู้จัก magical
00:02:51
term ก่อนใช่
00:02:54
มย vesicle แปลว่าอะไร
00:03:00
เคยรู้จักึป่าอาจารย์ภาสวัตสอนไป
00:03:05
ยังไม่สอนก็เรียนใหม่ได้อ้า vesicle แปล
00:03:08
ว่าตุ่มน้ำขนาด
00:03:10
เล็กแสดงว่าเป็น fluid Field Space ที่
00:03:16
มันมีขนาดเล็กถ้าเป็นบูเป็นตุ่มน้ำขนาด
00:03:20
ใหญ่นะ
00:03:25
ฮะอ่ารูปทางซ้ายนี่เรียกว่าอะไรเออ
00:03:30
เลยรูปทางซ้ายนี่เรียก
00:03:34
ว่านะฮะอันนี้จะเป็นบ่านะครับอันนี้จะ
00:03:38
เป็นบ่าตุ่มน้ำขนาดใหญ่อันนี้
00:03:42
บ่าต่อมาก็จะมี No กับ paple paple
00:03:48
เนี่ยแปลว่าตุ่ม
00:03:49
ตันขนาดเล็กส่วน nodu เนี่ยเป็นตุ่มตัน
00:03:54
ขนาดใหญ่แสดงว่ามันเป็นเนื้อตันๆไม่ไม่มี
00:03:58
ฟลูอิดอยู่ข้าข้าง
00:04:01
ในอย่างรูปซ้ายนี่เรียก
00:04:06
ว่าอันนี้เรียกว่า
00:04:10
อะไร
00:04:12
pull อันรูปขวาเรียกว่า No ตุ่มตันขนาด
00:04:18
ใหญ่อันนี้ก็จะมาดูโรคตัวแรกในกลุ่มของ
00:04:24
mucocutaneous disorder ก็คือ picus
00:04:27
vulgaris อันนี้เป็น autoimmune
00:04:32
disease โดยจะมี blister แปลว่าตุ่มน้ำ
00:04:37
ที่บริเวณ Skin แล้วก็ mucus
00:04:40
เน
00:04:41
picus เนี่ยมันมีหลายแบบ
00:04:45
นะที่เราจะเรียนวันนี้ก็คือ picus
00:04:48
vulgaris หรือย่อว่า PV เนี่ยจะพบประมาณ
00:04:52
70% ของ picus ทั้งหมดคือในบรรดา picus
00:04:56
100 เคสเนี่ยจะเป็น picus valar 70%
00:05:01
แล้วในช่องปากก็จะเป็นตำแหน่งที่เกิดโรค
00:05:04
เป็นอันดับ
00:05:05
แรกคนประเภทไหนที่จะเป็น picus vulgaris
00:05:10
ก็จะเป็นตั้งแต่ middle Age วัยกลางคนไป
00:05:13
จนถึง elderly Person ก็คือคนแก่ๆผู้
00:05:18
หญิงจะเป็นมากกว่าผู้ชายเอ่อคนเชื้อชาติ
00:05:22
ไหนจะเป็นก็คือคนยิวเอเซียแล้วก็
00:05:27
เมดิเตอร์เรเนียน
00:05:29
เมดิเตอร์เรเนียนก็คือที่มันอยู่ล้อมรอบ
00:05:33
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเช่นอิตาลีรีซประมาณ
00:05:39
นี้ลักษณะทางคลินิกของ picus vulgaris
00:05:43
ก็จะเป็นบูหรือเป็นตุ่มน้ำขึ้นมาก่อนต่อ
00:05:47
มาตุ่มน้ำแตกออกกลายเป็นแผลนะ
00:05:51
ฮะมีศัพท์ที่ต้องเรียนรู้ก็คือนิคกี้ไ
00:05:56
นิคกี้ไคืออะไรสมมุติว่าคนไข้เนี่ยมีตุ่ม
00:06:00
น้ำอยู่ตรงนี้ใช่ไหมมครับเราเอาเครื่อง
00:06:05
มือทู่ๆไปถูเบาๆที่บริเวณเนื้อเยื่อปกติ
00:06:13
ที่อยู่ใกล้เคียงกับรอยโลกเช่นตรงนี้แล้ว
00:06:17
มันจะบวมเป็นตุ่มน้ำขึ้นมาอันนี้คือ niky
00:06:20
ไ Positive นะคือตอนแรกคนไข้มีตุ่มน้ำ
00:06:24
อยู่ตรงนี้อย่างเดียวเราเอาเครื่องมือทู่
00:06:26
ๆเนี่ยไปถูเบาๆที่ตำแหน่งของเนื้อเยื่อ
00:06:30
ปกติที่อยู่ข้างๆกับรอยโรคแล้วมันเกิด
00:06:35
ตุ่มน้ำขึ้นมาอันเนี้ยเรียกว่า niky S
00:06:40
Positive ลักษณะทางคลินิกของ picus bis
00:06:44
ก็มันจะเป็นตุ่มน้ำขึ้นมาก่อนแล้วมันก็จะ
00:06:48
ตุ่มน้ำจะแตกออกก็จะเห็นอาจจะเป็นเห็นรอย
00:06:51
แดงๆของอรชหรือเป็น
00:06:55
แผลอันนี้ก็คือเป็นรูปตุ่มน้ำที่ผิวหนัง
00:06:59
นะฮะอันนี้ต่อมาตุ่มน้ำแตกออกก็จะกลาย
00:07:02
เป็นแผลเกิดขึ้นหรือรอย
00:07:05
erosion pathogenesis ของ picus vgis
00:07:09
อันนี้เป็น autoimmune disease เพราะ
00:07:12
ฉะนั้นคนไข้ก็จะมี Auto antibody โดย
00:07:15
เฉพาะอย่างยิ่งเป็น igg type ซึ่ง
00:07:20
แิอของคนไข้เนี่ยก็จะไปทำปฏิกิริยากับ
00:07:24
desmosome แล้วก็ T filament
00:07:27
Complex ทำให้มีการการทำลายของพวก T
00:07:31
filament Complex ทำให้สูญเสียการยึด
00:07:34
เกาะกันของ
00:07:38
เซลล์อันนี้เป็นภาพไไมโครสโคปที่ย้อม H
00:07:42
นะฮะอันนี้เป็นเซลล์ที่ 1 อันนี้เป็น
00:07:45
เซลล์ที่ 2 นะครับแล้วก็มาทำดู Higher
00:07:49
magnification นะอันนี้เป็นเซลล์ที่ 1
00:07:52
อันนี้เป็นเซลล์ที่ 2 ก็จะเห็นช่องว่าง
00:07:55
ระหว่าง 2 เซลล์เป็นช่องขาวๆนี่เห็นมย
00:07:58
ครับ
00:07:59
แล้วก็ระหตรงระหว่างช่องขาวๆเนี่ยก็จะ
00:08:03
มีเส้นเล็กๆเชื่อมระหว่าง 2 เซลล์อันนี้
00:08:06
เรียกว่าอะไร
00:08:10
นะอันนี้เรียกว่าอะไร
00:08:13
นะไม่ใช่ระหว่างดูด้วยไล์ไมโครสโคปอันนี้
00:08:18
ดูดูด้วยกล้องจุลทัศน์
00:08:21
ธรรมดาอันนี้เป็นเซลล์ที่ 1 อันนี้เป็น
00:08:24
เซลล์ที่ 2 ระหว่าง 2 เซลล์จะมีช่องขาวๆ
00:08:26
อยู่และมองไปดีๆระหว่างช่องของขาขาเนี่ย
00:08:30
จะมีเส้นเป็นขาเล็กๆเชื่อมระหว่าง 2
00:08:33
เซลล์หลายๆอันอันนี้เรียกว่า
00:08:36
intercellular
00:08:38
Bridge intercellular
00:08:44
Bridge ไอ้ช่องขาวๆเนี่ก็เป็นรอยต่อ
00:08:48
ระหว่างเซลล์ 2 อันก็เรียกว่า
00:08:51
intercellular Junction ตรง
00:08:54
นี้นี่ดูด้วยไลไมโครสโคปนะครับ
00:08:59
ถ้าเราดูตำแหน่งเดียวกันด้วยอิเล็กตรอน
00:09:03
ไมโครสโคปซึ่งมันจะขยายมากกว่าไไมโครสโคป
00:09:07
เป็นพันๆเท่าอันนี้ก็เป็นไดอะแกรมนะนี้
00:09:11
เป็นเซลล์เซลล์ที่ 1 นะอันนี้เป็นเซลล์
00:09:13
เซลล์ที่ 2 เซลล์ 2 เซลล์มันจะมาเชื่อม
00:09:17
กันเราเรียกตรงตำแหน่งที่เซลล์ 2 เซลล์
00:09:20
เชื่อมกันเนี่ยเป็นว่า
00:09:23
เมมอันนี้ดูด้วยอิเล็กตรอนไมโครสโคปนะไม่
00:09:27
ได้ดูด้วยก้องจุลทัศน์อันนี่ขยายใหญ่ขึ้น
00:09:31
desmosome เนี่ยก็จะประกอบด้วย
00:09:34
attachment PL แล้วก็พวก T
00:09:39
fil อันนี้ก็เป็นไดอะแกรมนี่เซลล์เซลล์
00:09:43
ที่ 1 อันนี้เป็นเซลล์ที่ 2 เ่อระหว่าง 2
00:09:46
เซลล์มันก็จะมี linking โปรตีนยื่นออกมา
00:09:49
เกาะกันตัวอย่างของ linking โปรตีนก็เช่น
00:09:53
desen 1 หรือ des moren 3 อันนี้ก็จะ
00:09:57
เป็น linking โปตนที่ทำให้เซลล์ 2 เซลล์
00:09:59
มันเกาะ
00:10:00
[เพลง]
00:10:01
กันอันนี้ใน pathogenesis ของ picus val
00:10:06
garis ก็คือในคนไข้จะมี aut antibody
00:10:09
นะ Auto antibody 2 des morin 3 ใน
00:10:14
mucosal dominant disease คืออันนี้
00:10:18
เป็นอ่าเซลล์ที่ผิวหนังนะครับก็จะเห็นว่า
00:10:24
ที่ผิวหนังเนี่ยมันก็จะมี linking โปรตีน
00:10:28
ส่วนใหญ่จะเป็นเป็น desmo Green 1 มี
00:10:31
desmo Green 3 อ่ะน้อยฮะอันนี้ก็จะ
00:10:33
เห็นว่ามันมีสีฟ้าๆนี่ก็คือ DM Green 1
00:10:36
จากเซลล์อันนี้เป็นเซลล์ที่ 1 อันนี้เป็น
00:10:39
เซลล์ที่เซลล์ที่ 2 มันก็จะมี linking
00:10:42
โปตนคือ desmo One จากแต่ละเซลล์ยื่นออก
00:10:45
มาเกาะกันนะอันนี้ที่ Skin เนี่ยมันจะ
00:10:49
เป็น des moren 1 เป็นส่วนใหญ่จะมี des
00:10:52
moren 3 ที่เป็นสีเหลืองเนี่ยเป็นจำนวน
00:10:54
น้อยถ้าคนไข้มีแอนติบอดี้ต่อ des Bin
00:11:00
แิอก็จะไปเกาะกับ des morin tre แิอก็
00:11:04
เป็น W shap Structure ที่สีส้มส้มนี้
00:11:08
ก็จะไปจับกับ desmo Green tre ที่เป็น
00:11:11
สีเหลืองก็จะขัดขวางการเกาะกันระหว่าง des
00:11:16
Green 3 ทั้ง 2 อันแต่ desmo Green 1
00:11:21
ก็ไม่มีผลอะไรก็ยังเกาะกันได้อยู่เพราะ
00:11:24
ฉะนั้นเนื่องจากที่ผิวหนังส่วนใหญ่เป็น
00:11:28
des Green เพราะฉะนั้นแอนติบอดี้ก็ไม่
00:11:31
รบกวนการเกาะกันของเซลล์ที่สกินมากนักผล
00:11:36
ก็คือไม่เกิดรอยโรคให้เห็นได้ที่
00:11:41
Skin แต่ที่วัเมนส่วนใหญ่จะเป็น desen
00:11:47
tre พอคนไข้มีแอนติบอดี้ต่อ des moren
00:11:52
tre แิบก็จะไปจับกับ des moren Tree
00:11:56
ก็จะขัดขวางกันเกาะกัน
00:11:59
ระหว่างเมน tre ระหว่าง 2
00:12:03
เซลล์ทำให้เมน tre เกาะกันไม่ได้ก็เลยทำ
00:12:08
ให้เซลล์สูญเสียกันยึดเกาะกันก็จะเห็นรอย
00:12:13
แยกนะในชั้นของธีมที่บริเวณัเมนในขณะที่
00:12:21
ตรงสินเนี่ยไม่มี
00:12:27
ผลดูถ้าคนปกติ Healthy Person ก็จะไม่มี
00:12:33
aut antibody ทั้งต่อ desmo 1 และ des
00:12:36
moren 3 ก็จะไม่มีรอยโลกให้เห็นได้ก็จะ
00:12:41
เห็นชั้นของ Skin เนี่ยปกตินะ
00:12:45
ครับถ้าในคนไข้ที่เป็น pemphigus
00:12:49
vulgaris แบบ mucosal dominant type
00:12:52
ก็คือเกิดที่บริเวณ mucus เนคนไข้จะมีแิอ
00:12:58
ต่อ des morin
00:13:01
3 แต่ไม่มี an ิอต่อ des morin 1
00:13:07
เพราะฉะนั้นที่ Skin ซึ่งส่วนใหญ่เป็น des
00:13:10
M Green One ก็ไม่มีผลอเพราะฉะนั้นที่
00:13:14
Skin ก็ปกติแต่ที่ัเนเนื่องจากเอ่อ
00:13:19
linking โปนเนี่ยส่วนใหญ่จะเป็น des
00:13:21
mogen tre คนไข้มีแิอต่อ desen tre ก็
00:13:26
จะไปเกาะกับ desen tre ขัดขวางกันยึด
00:13:30
เกาะกันของเมน tre ระหว่าง 2 เซลล์ก็ทำ
00:13:34
ให้มีรอยโรคเกิดขึ้นในชั้นของัเมนพอตัด
00:13:40
his มาดูก็จะเห็นรอยแยกเห็นมเป็นช่อง
00:13:44
ว่างรอยแยกในชั้นของเอ่อิธี
00:13:49
ของั
00:13:51
[เพลง]
00:13:53
เมนถ้าคนไข้เป็น picus boris แบบ mcut
00:13:59
คนไข้จะมีแิอทั้งต่อ desen 1 และ desen
00:14:03
3 เพราะฉะนั้นแิอต่อ desen 1 ก็จะไป
00:14:07
เกาะกับ des M Green One ก็จะขัดขวาง
00:14:10
การยึดเกาะกันของ desen One นั้นคนไข้ก็
00:14:14
จะมีรอยโรคที่ Skin นะก็จะเห็นรอยแยกที่
00:14:19
Skin ในขณะเดียวกันแิอต่อเมน tre ก็จะไป
00:14:24
เกาะกับเมน Tree ขัดขวางการยึดเกาะกันของ
00:14:29
เมน tre ระหว่าง 2 เซลล์เนื่องจากที่
00:14:32
บริวณัเนส่วนใหญ่จะเป็น des mogen tre
00:14:36
เพนั้นก็จะเกิดรอยโรคที่ัเมนด้วยเพราะ
00:14:40
ฉะนั้นใน mucous type คนไข้ก็จะมีรอยโรค
00:14:45
ทั้งที่ Skin ะก็ั
00:14:48
เนอันนี้มาดู picus แบบอื่นเช่น picus
00:14:53
fias นะฮะคนไข้จะมีแิอต่อ des moren
00:14:58
One แต่ว่าไม่มีแอนติบอดี้ต่อ desen tre
00:15:02
เพราะฉะนั้นคนไข้ก็จะมีรอยโรคที่บริเวณ
00:15:06
ผิวหนังเท่านั้นแต่จะสังเกตเห็นว่ารอยแยก
00:15:09
เนี่ยมันอยู่คนละระดับกับ picus vgis
00:15:14
vgis เนี่ยจะอยู่รอยแยกเนี่ยจะอยู่เหนือ
00:15:17
ชั้น basal เซลแต่ใน pemphigus ชสนั้นรอย
00:15:22
แยกมันจะอยู่สูงขึ้นไปนะมันเป็นคนละชนิด
00:15:26
กันของ picus นะครับ
00:15:29
ทานี้มาดูลักษณะทาง his ของ picus valis
00:15:34
อันที่ 1 เราจะเห็น intra epal vesicle
00:15:38
หรือ bulla ก็คือเห็นตุ่มน้ำอยู่ภายใน
00:15:43
ชั้นิมหรืออาจจะเรียกอีกอย่างนึงว่าเป็น
00:15:47
cf Light spaces เป็นช่องว่างที่เกิด
00:15:50
ขึ้นอยู่ภายในชั้นียมเกิดจาก process ที่
00:15:55
เรียกว่า
00:15:56
Aris Aris เนี่ยแปลว่าการสูญเสียการยึด
00:16:02
เกาะกันระหว่างเซลล์มันจะคล้ายๆกับศัพท์
00:16:06
ที่เคเคยเรียนมาแล้ว aant Thesis aant
00:16:10
Thesis แปลว่า trick thickening of
00:16:13
ชั้น pric Cell layer แต่อันนี้
00:16:17
acis แปลว่าการสูญเสียการยึดเกาะกัน
00:16:21
ระหว่างเซลล์นะก็จะเกิดขึ้นที่บริเวณ
00:16:25
stratum spinosum หรือ pri Cell layer
00:16:29
เราก็จะเห็นเซลล์ของชั้น stratum
00:16:32
สนัมรูปแบบเป็นเซลล์เดี่ยวๆหรือเป็นกลุ่ม
00:16:36
ของเซลล์ลอยอยู่ในตุ่มน้ำเราเรียกเซลล์
00:16:40
พวกนี้ว่า S
00:16:43
เซลตัว T ไม่ออกเสียงนะฮะ sank cell
00:16:48
หรือ aant
00:16:51
Cell ส่วน Bal Cell เนี่ยก็สูญเสีย
00:16:54
intercellular adhesion เหมือนกันแต่
00:16:57
ยังคงเกาะติดกับชั้น connective tissue
00:17:01
ข้างล่างลักษณะเหมือนกับหินที่อยู่หน้า
00:17:06
หลุมฝังศพของฝรั่งก็คือ Tom
00:17:09
Stone ถ้าเราทำ direct
00:17:11
immunofluorescence เราจะพบว่ามี igg
00:17:15
แล้วก็ component Factor 3 เนี่ยจะไป
00:17:19
เกาะอยู่ที่ intercellular region ของ
00:17:23
epidermis อันนี้ก็จะเป็นรูปของ his ของ
00:17:27
picus vulgaris นะฮะอันนี้ตั้งแต่ตรง
00:17:29
นี้ถึงตรงนี้เป็นส่วนของ epidermis ถูก
00:17:32
มั้ยครับปกติมันก็จะเป็นเซลล์ของ
00:17:36
epidermis ตันๆแต่อันนี้จะเห็นว่ามันมี
00:17:39
รอยแยกที่เป็นขาวๆอยู่เหนือชั้นเซอเซลล์
00:17:44
นะฮะดูอันนี้เป็นกำลังขยายใหญ่ขึ้นจะเห็น
00:17:48
ว่ารอยแยกที่เป็นช่องขาวๆเนี่ยอยู่เหนือ
00:17:51
Bal เซล์ Bal เซลอยู่ตรงนี้นะฮะนี่คือ
00:17:54
Bal
00:17:55
เซลแล้วในตุ่มน้ำเนี่ยก็จะมีเซลล์ที่ลอยๆ
00:18:01
อยู่ในตุ่มน้ำพวกนี้นะฮะพวกนี้ก็คือ S
00:18:05
เซลหรือ atic
00:18:11
Cell ให้ดูอีกรูปนึงชัดๆอันนี้ปกติถ้า
00:18:15
เกิดเป็นปกติเนี่ยก็ตั้งแต่ตรงนี้จนถึง
00:18:18
ตรงนี้จะเป็นส่วนของิมก็จะเป็นลักษณะ
00:18:22
อย่างนี้แน่นๆแต่ในคนที่เป็น picus valar
00:18:27
จะเห็นว่ามีช่องว่างขาวๆพวกนี้เห็นมั้ย
00:18:29
ครับเป็นรอยแยกที่เกิดขึ้นภายในชั้นธีมนะ
00:18:34
ฮะอันนี้ก็คือ CP Light Space หรือ
00:18:38
vesicle หรือ่าที่เกิดขึ้นภายในชั้นธีม
00:18:42
ช่องขาวๆเนี่ยแล้วดูในช่องก็จะมีเซลล์ลอย
00:18:47
ๆอยู่อาจจะเป็นเซลล์
00:18:49
เดียวหรือเป็นกลุ่มของเซลล์อันนี้พวกนี้
00:18:53
เรียกว่า S cell หรือ anant Sell นะ
00:18:57
ครับอนี้ tic cell หรือ S
00:19:01
Cell ส่วนอันนี้เป็นชั้นของ basal Cell
00:19:05
ยังเกาะอยู่กับ connective tsue เป็น
00:19:07
เซลล์ๆเดียวเกาะอยู่กับ connective
00:19:10
tissue ลักษณะคล้ายๆกับหินที่อยู่หน้า
00:19:14
หลุมฝังศพฝรั่งก็คือเหมือนกับ a Row of
00:19:18
tombstone อันนี้นะฮะ basal
00:19:23
Cell ถ้าเราทำ immunofluorescence
00:19:30
จะเห็นมีการสะสมของ igg หรือ complement
00:19:34
Factor 3 ที่บริเวณ intercellular
00:19:36
region ก็จะเห็นว่ามี fluent signal
00:19:40
ที่เห็นเป็นสีเขียวๆเข้มๆเนี่ยอยู่
00:19:44
ตรงบริเวณที่เซลล์ 2 เซลล์มันต่อกันนะฮะ
00:19:48
ก็คือ intercellular region นะจะเห็น SI
00:19:52
fluence signal ที่เป็นสีเขียวๆเนี่ย
00:19:55
อยู่รอบๆเซลล์อันนี้นะฮะลักษณะ
00:19:59
เมื่อดูแล้วฝรั่งดูแล้วก็คล้ายๆ
00:20:03
กับ
00:20:06
ลวดเดี๋ยวก่อนคล้ายๆกับตาข่ายที่ขึงกง
00:20:11
ไก่เขาก็เลยเรียกว่าเป็น Chicken Wi
00:20:15
appearance นะเหมือน
00:20:17
กับเหมือนกับเอ่อตาข่ายลวดที่ไปขึงกงไก่
00:20:24
นะฮะก็เลยเรียกว่า Chicken War
00:20:26
appearance จะเห็นว่า for signal เนี่ย
00:20:29
ที่เป็นสีเขียวๆเนี่ยคล้ายๆกับตาข่ายของ
00:20:32
ลวดอันนี้นะ
00:20:35
ครับอันนี้การทำ immunofluorescence ก็
00:20:38
แบ่งออกเป็น 2 แบบนะฮะแบบที่ 1 ก็คือ
00:20:41
direct immunofluorescence
00:20:44
specimen ที่เอามาคือเนื้อของคนไข้ทำ
00:20:47
ไอซี่ตัดเนื้อคนไข้มาที่เนื้อของคนไข้
00:20:51
เนี่ยถ้าคนไข้เป็นโรค picus valis ก็จะ
00:20:55
มี aut แิออยู่แล้วก็คือจะมี Human igg
00:21:00
เกาะอยู่แล้วถ้าคนไข้เป็น picus
00:21:04
valis ต่อมาเราก็หยด antibody ตัวที่ 2
00:21:08
ก็คือ
00:21:09
fortin label Anti Human igg ถ้าคน
00:21:14
ไข้มี igg ก็คือ Human igg อยู่ antibody
00:21:19
ตัวที่ 2 ก็คือ Anti Human igg ก็จะไป
00:21:22
กาะกับ Human
00:21:24
igg จากนั้นเราก็ล้าง Watch ถ้าถ้าเผื่อ
00:21:29
มันมี Human igg เกาะอยู่ที่เนื้อเยอะ
00:21:31
อยู่แล้วแิอตัวที่ 2 นี้ก็จะจับอย่างแน่น
00:21:34
นะเสร็จแล้วเราก็ไปส่องดูด้วยกล้อง
00:21:39
florent ก็จะเห็น florent signal ตรง
00:21:42
ตำแหน่งที่ Human igg ของคนไข้เกาะ
00:21:48
อยู่แต่ถ้าเผื่อว่าคนไข้ไม่ได้เป็นโรคนี้
00:21:53
ไม่มี Human igg เกาะอยู่ตรงนี้เราหยด
00:21:56
Anti Human igg ลงไปเสร็จแล้วเราล้าง
00:22:00
ออกไอ้ตัว Anti Human igg มันก็ไม่มี
00:22:03
ที่เกาะมันก็จะถูกล้างออกไปพอเราไปดูใต้
00:22:07
กล้อง
00:22:09
fluent ก็จะไม่เกิด signal ให้เห็นในคน
00:22:12
ไข้ที่ไม่เป็น
00:22:15
โรคต่อมาเป็น indirect
00:22:18
immuno อันนี้สินที่เอามาจะเป็นเลือดของ
00:22:22
คนไข้ในเลือดของคนไข้เนี่ยจะมีอ Anti ก็
00:22:28
คือ Human igg
00:22:30
อยู่เราจะเอาเนื้อลิงมาเนื่องจากเราไม่
00:22:36
สามารถเอาเนื้อคนปกติได้มาใช้ได้เพราะมัน
00:22:39
ผิดจริยธรรมก็จะเอาเนื้อลิงเนื่องจากลิง
00:22:42
เนี่ยมีความใกล้ชิดกับคนมากถ้าในเลือดคน
00:22:47
ไข้มี Human igg อยู่ Human igg ก็จะไป
00:22:54
เกาะกับเนื้อของลิงนะต่อมาเราก็หยด Second
00:22:59
antibody ก็คือ Forest label Anti
00:23:03
Human igg antibody ตัวนี้จะมีสาร
00:23:06
Forest Near Track อยู่
00:23:09
ด้วยถ้าใน Serum ของคนไข้เนี่ยมี Human
00:23:12
igg เกาะอยู่เอ่อแิอตัวที่ 2 เนี่ยก็ก็
00:23:17
จะไปจับกับ Human igg จากนั้นเราก็ล้าง
00:23:21
ออกถ้ามันมีการจับกัน
00:23:24
อยู่เราก็ไปส่องดูด้วยกล้อง forent
00:23:28
ก็จะเห็น fluence signal ตรงตำแหน่งที่
00:23:32
Human igg เกาะ
00:23:35
อยู่
00:23:37
สรุป direct immuno florent specimen
00:23:40
ที่เอามาคือเนื้อของคนไข้ซึ่งจะมี Human
00:23:44
igg เกาะอยู่แล้วถ้าเป็น indirect
00:23:47
immunofluorescence
00:23:49
specimen ที่เอามาคือเลือดของคนไข้ซึ่ง
00:23:52
จะมี Human igg อยู่ต่อมาเราเอาเลือดของ
00:23:57
คนไข้เนี่ยเนี่ยไปหยดบนเนื้อเยื่อลิงถ้า
00:24:02
มัน
00:24:03
มี Human igg มันก็จะไปเกาะกับเนื้อ
00:24:07
เยื่อลิงเพราะฉะนั้นเพราะว่าเนื้อเยื่อ
00:24:09
ลิงเนี่ยเสมือนเป็นเนื้อเยื่อคนเพราะลิง
00:24:11
กับคนมีความใกล้เคียงกันมากจากนั้นเราก็
00:24:15
หยด secondary antibody ก็คือเป็น Forest
00:24:18
label Anti Human
00:24:20
igg secondary แิอก็จะไปเกาะกับ Human
00:24:24
igg ถ้าคนในคนที่เป็นโรคและแล้วเราก็ไป
00:24:28
ดูด้วยกล้องจุลทัศน์ florent ก็จะเห็น
00:24:32
fluorescent signal ตรงตำแหน่งที่มี
00:24:35
Human igg เกาะอยู่อันนี้ก็เป็นสรุปของ
00:24:42
immunol โรคต่อมานะครับก็จะเป็น mucus
00:24:46
membrane Pig เรียกอีกชื่อนึงว่าเป็น
00:24:50
cicatricial
00:24:51
Pig ก็จะเป็น chronic autoimmune
00:24:55
disease ของ mucus membrane เป็นส่วน
00:24:58
ใหญ่ตามชื่อของมันนะะัเมนเพีอยก็เกิดที่ั
00:25:04
เมนเป็นส่วนใหญ่เกิดที่สกินเป็นส่วนน้อย
00:25:09
ส่วนใหญ่ก็เกิดในคนแก่ๆนะผู้หญิงเป็นมาก
00:25:13
กว่าเป็นผู้
00:25:17
ชายลักษณะทางคลินิกก็จะเห็นบูล่าเหมือน
00:25:21
กันก็จะเป็นตุ่มน้ำขนาดใหญ่
00:25:26
นะลักษณะทางฮินะฮะก็จะเห็นว่าอันนี้เป็น
00:25:31
ชั้นของธิมใช่ไหมมครับนี่คือทั้งชั้นียม
00:25:35
จะเห็นว่ารอยแยกเนี่ยมันอยู่ต่ำกว่าิมนะ
00:25:39
ฮะเซอเซลอยู่ติดไปกับิมติดไปกับรูฟของรอย
00:25:46
โลกรอยแยกเนี่ยอยู่ต่ำกว่าธีมเพราะฉะนั้น
00:25:50
เราก็จะเรียกว่าสับแปลว่าใต้ใช่มอย่าง
00:25:54
เช่นไปเล่นสเกตน้ำแข็งสับ zer
00:25:58
temperature ตต่ำกว่า 0 องศาอันนี้ก็คือ
00:26:02
sub epithelial blister หรือ sub
00:26:06
epithelial
00:26:07
separation ก็มีรอยแยกต่ำกว่าชั้นิีนะ
00:26:13
อันนี้ก็จะพบใน mucus membrane
00:26:17
Pig แล้วถ้าทำ immuno florent จะเห็น
00:26:22
florent signal ที่เป็นสีเขียวๆเนี่ย
00:26:27
อยู่ตรงตำแหน่งรอยต่อระหว่าง epit helium
00:26:31
กับ connective tissue ลักษณะเป็น linear
00:26:35
Pattern เป็นเส้นๆนะใน picus vulgaris
00:26:40
เราจะเห็นเป็น Chicken W appearance ใน
00:26:43
mucus membrane Pig จะเห็นเป็น linear
00:26:47
Pattern ของ antibody ต่อ
00:26:50
igg หรือ complement Factor
00:26:55
3 โลกต่อมาเป็น len PL นันะ
00:27:00
ครับอันนี้ก็จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
00:27:03
นะฮะผู้หญิงอายุตั้งแต่กลางคนขึ้น
00:27:09
ไปลักษณะ typical rash ของ liken planus
00:27:14
ก็จะบรรยายด้วย 5p ก็คือมี pric แปลว่า
00:27:18
คัน pln แปลว่า Flat
00:27:22
to แปลว่าแบนๆตอนด้านบนแบนๆ Purple สี
00:27:27
ม่วง polygonal รูปร่างหลายเหลี่ยม pil
00:27:31
เป็นตุ่มเนื้อตันขนาดเล็กๆจะเกิดที่
00:27:34
บริเวณ flexor จนอันนี้เป็นข้อนะครับข้อ
00:27:39
อย่างข้อข้อข้อข้อ 2 เนี่ยด้านนี้เรียก
00:27:43
ว่าเกอด้านที่อยู่ข้างในเกอด้านนอกเรียก
00:27:47
ว่า extensor เพราะฉะนั้นนี้อยู่ flexor
00:27:51
region อาจจะเกิดที่ข้อมือลำตัวต้นขา
00:27:58
Shin of tbia ก็คือหน้าแข้งนะฮะที่
00:28:01
เล็บแล้วก็หนังศีรษะหรือ oral mucosa
00:28:05
หลังจากเกิดรอยโรค len planus พอหายอาจ
00:28:10
จะเกิด Post len hyperpigmentation ก็
00:28:14
คือเกิด
00:28:15
พิมเกิดขึ้นได้อันนี้ก็เป็นลักษณะทาง
00:28:20
คลินิคของ len พนัที่เกิดที่ผิวหนังนะก็
00:28:24
จะมี bolas ก็คือสีม่วง Poly goral Flat
00:28:28
Top ก็คือ plan หน้าแิหรือ PL พวกนี้
00:28:33
นะถ้าดูดีๆมันจะมีขุยขาวๆเรียงต่อกันอัน
00:28:38
เราเรียกว่าเป็น wickham
00:28:43
str เอ่อ ren planus ที่เราพบมีหลาย
00:28:46
แพทเทิร์นแต่อันที่ typical ก็คือ rec
00:28:49
acular Pattern ก็จะเห็นเป็นเส้นสีขาวๆ
00:28:53
เรียงต่อกันคล้ายๆลูกไม้นะเรียกว่า W
00:28:58
str len planus เนี่ยในปากตำแหน่งที่
00:29:02
พบมากที่สุดก็คือ bual muca แล้วมันจะ
00:29:06
เกิด 2 ข้าง
00:29:08
bilateral แบบ retic particular
00:29:10
Pattern ที่เป็นรอยขาวๆเนี่ยคนไข้จะไม่
00:29:13
มีอาการ asymptomatic ไม่มี
00:29:17
อาการอันนี้ก็เป็นรูปของ len planus ที่
00:29:21
เกิดในช่องปากที่เป็นแบบ rec acular
00:29:23
Pattern ซึ่งจะเป็นเส้นสีขาวๆต่อกันไปมา
00:29:27
คล้ายๆกับลูก
00:29:29
ไม้พอเห็นข้างนี้ก็ไปดูอีกข้างนึงว่ามัน
00:29:32
มีหรือเปล่าถ้าเป็น lin เพัจะเป็น 2
00:29:37
ข้างลักษณะทาง his ของ len planus ก็จะ
00:29:41
มี Hyper ath carat ก็คือมีชั้นของเติน
00:29:47
หนากว่าปกติ Hyper
00:29:49
paros มีพาคินหนากว่าปกติมี cantos นะะ
00:29:55
ก็คือมี thickening ของ prickle Cell
00:29:59
layer มี basal Cell
00:30:03
degeneration แล้วก็มี Saw toth
00:30:06
appearance ของ R pake หรือ R rid
00:30:09
แล้วก็จะมี lymoc
00:30:13
Band อันนี้นะฮะจะให้ดูลูกศรสีแดงก็มี
00:30:19
hyperkeratosis ก็คือชั้นของคตีเนี่ยหนา
00:30:23
ตัวกว่า
00:30:25
ปกติเมื่อเช้าเราดู H พาราเติคือในชั้น
00:30:29
ของเตินเนี่ยจะเห็นนิวเคลียสอยู่ด้วยแต่
00:30:32
อันนี้เป็นไฮเปอร์ kosit คือในชั้นของ
00:30:35
เตินเนี่ยจะไม่มีนิวเคลียสแต่ว่าความหนา
00:30:39
ของเตินเนี่ยจะหนากว่า
00:30:42
ปกติอันต่อมาลูกศรสีเขียวนะฮะแถวนี้ก็ได้
00:30:48
หรือตรงนี้จะเห็น jacket outline ของิม
00:30:52
เนื่องจากมี basal Cell degeneration
00:30:58
ในรอยต่อปกติระหว่าง epithelium กับ
00:31:02
connective tissue จะมีรอยต่อเนี้ย
00:31:05
Sharp เหมือนกับที่เราเรียกว่าเป็น ey
00:31:08
Liner SI เขียนตาเนี่ยรอยจะ Sharp เป็น
00:31:13
เส้นคมชัดรอยต่อระหว่าง basal Cell กับ
00:31:17
connective issue ก็จะคมชัดแต่ใน lin
00:31:22
planus มันมี basal Cell degeneration
00:31:26
ก็จะเห็นรอยต่อหยึกอยาก jacket outline
00:31:30
ของ
00:31:30
epithelium เนื่องจากว่ามี basal Cell
00:31:33
degeneration มองไปเราก็จะไม่ชัวรว่า
00:31:37
epithelium เนี่ยสิ้นสุดตรงไหนหรือ
00:31:40
connective psu เริ่มต้นตรงไหนเพราะว่า
00:31:43
มันมี basal Cell degeneration ตรงนี้
00:31:46
ไม่เหมือนกับแถบตรงนี้ค่อนข้างจะเห็นรอย
00:31:49
ต่อชัดเจนระหว่าง basal Cell กับ
00:31:52
connective tissue แต่ตรงนี้จะไม่ค่อย
00:31:54
ชัดเนื่องจาก basal Cell degeneration
00:31:56
แลแถกข้างล่างอันนี้ก็จะเป็น lymph site
00:31:59
Band เป็นแถบของ
00:32:03
Lite อันนี้ก็จะให้เห็นอันนี้จะเป็น
00:32:07
basal Cell degeneration นะฮะก็จะเห็น
00:32:09
ว่ารอยต่อระหว่าง epithelium กับ
00:32:11
connective ue มันไม่ค่อยชัดต่อมาจะ
00:32:14
เห็น lym site Band จะเห็นว่ามีแถบซึ่ง
00:32:18
ของิตอยู่ตรงนี้จะมี acis นะฮะก็คือมี
00:32:23
thickening ของ PR Cell layer ส่วน
00:32:26
ข้างบนสุดเก็จะเป็น Hyper
00:32:29
พาติเป็นชั้นของพาคินที่หนาตัวขึ้นจะเห็น
00:32:34
ว่าอันนี้มีนิวเคลียสอยู่ข้างในอันนี้ก็
00:32:36
จะเป็น
00:32:39
พาคินอันนี้ก็จะเป็น
00:32:42
imaginary ของฝรั่งซึ่งจะเห็นว่าส่วนของ
00:32:47
ิธีที่ยื่นลงไปใน connective tissue อัน
00:32:50
นี้เรียกว่า Rate pake หรือ R rid มัน
00:32:54
มีลักษณะคล้ายๆกับฟันเลื่อยก็เลยเรียกว่า
00:32:58
Saw Tooth appearance
00:33:02
นะอันนี้ก็จะเห็นส่วนของ epi ที่ยื่นลงมา
00:33:07
ใน cognitive tissue อันนี้อันนี้ก็เป็น
00:33:09
s Tooth appearance ของ R R or R
00:33:14
pake ข้างล่างก็จะมีแถบของ
00:33:20
lymph นอกจากนั้นอาจจะเจอพวก apoptotic
00:33:25
เซลก็คือเซลล์ที่ตายด้วย process ของ
00:33:28
apoptosis เราเรียกเซ์พวกนี้เป็น Cat
00:33:32
Body นะ
00:33:35
ฮะถ้าทำ immunofluorescence จะเห็นเอ่อ
00:33:39
immuno เอ่อเห็น fluorescent signal
00:33:43
อยู่ตรงรอยต่อระหว่าง epithelium กับ
00:33:46
connective tissue ถ้าทำด้วยเอ่อแิอต่อ
00:33:50
fibrinogen หรือ complement Factor 3
00:33:54
นะะใน len planus ไม่เหมือนกับใน
00:33:58
membrane Pig จะเป็น ody จะเป็น igg
00:34:01
หรือ complement Factor 3 แต่ใน len
00:34:04
planus จะเป็น fibrinogen หรือ
00:34:08
complement Factor 3 นะก็จะเห็น
00:34:10
florent signal ที่เป็นสีเขียวๆนี่อยู่
00:34:13
ตรงรอยต่อระหว่าง epithelium กับ
00:34:16
connective
00:34:17
tissue อ่าอันนี้ก็เป็น Lecture จบอัน
00:34:21
นี้นะครับ
00:34:25
เดี๋ยวเรา
00:34:30
แล้วเรา Stop recording ทำอย่าง
00:34:50
ไร
00:34:53
หะไม่แล้วทำยังไงให้มันเลิกอ่ะ
00:35:00
แล้ว
00:35:02
จะ
00:35:04
ใช่อันไหนครับเดี๋ยวๆๆอันอันนี้ยังยังไม่
00:35:09
ยังไม่เสร็จอันเนี้ยทำไงมันไม่เห็นแชร์ห
00:35:12
อ๋อแชร์อ่ะนั่งที่ก่อ๋๋ดูดูในสไลด์ของเรา
00:35:25
ก่อนอันนี้ก็เป็น picus val garis นะ
00:35:30
ฮะก็บอกแล้วว่าจะมี aut ody ต่อ desmo
00:35:34
Green tre ใน moso dominant type
00:35:37
เอ่อมี Auto ody ต่อ desmo 3 และ desmo
00:35:41
1 ใน Mu cous type ของ picus
00:35:48
vulgaris antibody ก็จะมา attack ตรง
00:35:51
ตำแหน่งที่เซลล์มันยึดเกาะกันนะครับ
00:35:58
ภาพทางคลีอาจารย์ภาสวัตก็คงให้ดูไป
00:36:03
แล้วอันนี้ก็เป็นลักษณะ
00:36:05
immunofluorescence ของ picus valar ก็
00:36:08
จะเห็นว่าจะเห็น fluorescent signal ที่
00:36:11
อยู่ตรง intercellular Junction อันนี้
00:36:13
ในไ microscope นะฮะลักษณะเรียกว่าเป็น
00:36:17
Chicken W
00:36:20
appearance อันนี้ภาพทาง
00:36:24
his ภาพทาง his นะฮก็จะเห็นว่าอันนี้
00:36:27
ตั้งแต่ตรงนี้ถึงตรงนี้เป็นส่วนของธีมจะ
00:36:31
เห็นว่ามีรอยแยกที่เกิดขึ้นภายในชั้นธีม
00:36:34
รอยแยกที่เป็นช่องขาวๆเนี่ยเกิดขึ้นภายใน
00:36:37
ชั้นธีมอยู่เหนือเซอเซลล์อันนี้คือเซอ
00:36:40
เซลล์นะ
00:36:43
ฮะซึ่งเซอเซลล์เนี่ยก็จะเรียงตัวกันปก
00:36:48
คลุมฉ connected พิชูคล้ายๆกับหินที่หลุม
00:36:53
ฝังศพของฝรั่งก็คือ tomestone ก็มีลักษณะ
00:36:56
เมือนเป็น ow ของ
00:37:00
tombstone นอกจากนั้นในช่องว่างๆเนี่ยจะ
00:37:04
มีเซลล์ที่ลอยอยู่อาจจะเป็นเซลล์เดี่ยวๆ
00:37:09
หรือกลุ่มของเซลล์เรียกว่า sank Cell or
00:37:13
atic Cell เกิดจาก process ที่เรียกว่า
00:37:17
acis คือการสูญเสียการยึดเกาะกันระหว่าง
00:37:22
เซลล์อันนี้จะเป็นสไลด์ของเรานะครับก็จะ
00:37:26
เห็น
00:37:27
ตั้งแต่ตรงนี้ถึงตรงนี้คือชั้นธีมจะเห็น
00:37:31
ว่ามันมีรอยแยกที่เกิดขึ้นภายในชั้นธีม
00:37:35
เรียกว่า inra epithelial
00:37:41
vesicle อาดูกำลังขยายสูงขึ้นจะเห็นว่า
00:37:45
รอยแยกเนี่ยมันอยู่เหนือชั้นเซอเซล์นะ
00:37:51
ฮะในช่องว่างๆหรือใน vesicle เนี่ยจะมี
00:37:56
เซลล์ที่ลอยๆอยู่อาจจะเป็นเซลล์เดี่ยว
00:37:59
หรือเป็นกลุ่มของเซลล์เรียกว่า s เซลล
00:38:03
หรือ anant itic Cell ส่วนชั้นเ Bal
00:38:07
Cell เนี่ยก็จะอยู่ตรง flaw ของรอยโรกอ
00:38:11
มีลักษณะเหมือน Row of Tom
00:38:17
Stone โลกต่อมาจะเป็น mucus mem เพีอย
00:38:22
นะ
00:38:23
ครับโลกนี้ชื่อมันก็บอกแล้วว่า mil
00:38:28
เมนนั้นโรคเกิดที่วัเมนเป็นส่วนใหญ่เกิด
00:38:33
ที่สินที่สกินน้อยมากนะวัเมนก็อย่างเช่น
00:38:37
เอ่อคองจังซีของ
00:38:40
ตาในปากนะครับก็จะเห็นมี
00:38:44
เหงือกแดงมีหลุดลอกของเหงือกนะฮะอันนี้ก็
00:38:50
จะเป็น
00:38:51
เอ่อบัสที่เกิดขึ้นใหม่ๆก็ยังเห็นเป็น
00:38:56
ตุ่มน้ำอยู่เพะพอมันแตกออกก็จะกลายเป็น
00:39:00
แผลลักษณะทาง his ของ mucus
00:39:04
membrane ก็จะมีรอยแยกซึ่งอยู่ต่ำกว่า
00:39:07
ชั้นิมนะฮะอันนี้ก็จะ
00:39:11
เป็น split Between epithelium and
00:39:14
connective tissue ถ้าทำ direct
00:39:17
immunofluorescence ก็จะเห็นเอ่อ florent
00:39:20
signal ที่เป็นสีเขียวๆอยู่ตรงรอยต่อ
00:39:22
ระหว่าง epit helium กับ connective
00:39:24
tissue ลักษณะเป็น linear Pattern
00:39:28
ถ้าใช้แิอต่อ igg และ complement Factor
00:39:33
3 อันนี้ก็จะเป็น s ของเรานะครับก็จะมี
00:39:36
เอ่อิมอยู่จะเห็นว่ารอยแยกเนี่ยมันอยู่
00:39:40
ต่ำกว่าชั้น basal เซลคือิมทั้งชั้นเนี่ย
00:39:44
ฟอร์มเป็น Roof ของรอย
00:39:46
โลกนะดูกำลังขยายสูงขึ้นจะเห็นว่าธีมทั้ง
00:39:51
ชั้นเนี่ยฟอร์มเป็นรูฟของรอยโรคโดยเซอ
00:39:54
เซลลเนี่ยติดไปกับรูฟของรอยโรคนะ
00:40:00
ครับโลกต่อมาเป็น len planus นะ
00:40:09
ฮะอันนี้ก็จะเห็นว่าที่เห็นตั้งแต่กำลัง
00:40:14
ขยายต่ำๆนี้จะเห็นว่า rated rid หรือ
00:40:18
rated pake เนี่ยยื่นลงมาใน connective
00:40:21
ue ลักษณะคล้ายๆกับฟันเลื่อยก็เรียกว่า
00:40:24
เป็น s Tooth appearance ต่อมามาเราจะ
00:40:27
เห็นว่ามีจุดม่วงๆเรียงกันเป็นแถบใต้ิม
00:40:32
อันนี้ก็คือลิมโฟไซต์ Band นะพวกนี้ที่
00:40:35
เป็นจุดสีม่วงๆเนี่ยก็คือลิมโฟไซต์เรียง
00:40:38
กันเป็นแถบอยู่ชิดกับ
00:40:41
ธีมอันนี้นะฮจะเห็นว่ามี S toth
00:40:44
appearance ของ
00:40:47
ิมชั้นบนสุดจะมี Hyper paros ก็คือชั้น
00:40:53
พาคินหนาตัวขึ้นชั้นต่อมาคือชั้น pral
00:40:58
Sell มีการหนายตัวขึ้นเรียกว่า
00:41:01
acis ต่อมาจะเห็น lymoc Band ก็คือแถบ
00:41:07
ของลิมโฟไซต์ที่อยู่ติดกับ
00:41:11
ิมนี่ดู High of magnification จะเห็น
00:41:14
ว่าตรงนี้มี basal Cell
00:41:18
degeneration จะไม่ชัวร์ว่าิมสิ้นสุดตรง
00:41:23
ไหนอย่างตรงนี้ค่อนข้างชัดกว่าจะเห็นว่า
00:41:26
ียมมันหยุดอยู่ตรงนี้นะ connective ก็
00:41:28
เริ่มตรงนี้แต่ตรงนี้มันเบลอๆรอยต่อไม่
00:41:32
แน่นอนไม่สามารถไม่ชัวร์ว่ามันอยู่ตรงไหน
00:41:36
แน่รอยต่อและข้างล่างก็จะมีลิมโฟไซต์
00:41:40
อยู่อันนี้ก็เป็นิต Band นะ
00:41:47
ครับอันที่ 1 ที่เราเห็นก็คือมี Hyper
00:41:52
par caris อันที่ 2 จะเห็นว่าชั้น
00:41:55
พิกเกอร์เซลล์หนาตัวขึ้นก็คือ cantos และ
00:41:59
อันที่ 3 ก็คือมีิต Band ที่อยู่ติดกับ
00:42:03
ธีมจะเห็นว่ามีเซลล์ของลิมโฟไซต์เรียงตัว
00:42:06
กันเป็นแถบแถบติดกับ
00:42:10
ธีมอันที่ 4 ก็จะเห็น basal Cell
00:42:13
degeneration นะฮะมีการ degeneration
00:42:16
ของ basal
00:42:18
Cell อันที่ 3 นี่ก็เป็นลิมโฟไซต์ Band
00:42:22
นะครับจะเห็นเอ่อลิมโฟไซต์เรียงตัวเป็น
00:42:25
แถบอยู่ติดกับ
00:42:28
ิมอ่าอันนี้ก็หมดวันนี้นะครับมีแค่ 3
00:42:32
สไลด์