00:00:02
ธัมมาวุโธว่าาหลวงปู่สาครธัมมาวุโธวัด
00:00:07
เวลวตำบลท่าขนุนอำเภอ
00:00:12
ทองผาภูมิจังหวัด
00:00:14
กาญจนบุรีแสดงธรรมเมื่อวันที่ 30
00:00:18
พฤศจิกายน
00:00:23
2567 เราจะต้องกลับหลังมือเป็นหน้ามือ
00:00:27
กลับหน้ามือเป็นหลังมือมันถึงจะออกจาก
00:00:30
สังสารวัฏของทิฐิมานะอาสวกิเลส
00:00:33
ได้จิตใจของเราจะต้องเด็ดขาดถ้าอะไรจะ
00:00:38
เกิดก็ต้องให้มันเกิดอะไรจะตั้งอยู่ก็ให้
00:00:41
มันตั้งอยู่อะไรจะดับไปก็ให้มันดับไปเรา
00:00:46
เป็นผู้เห็นเราเป็นผู้รู้เท่า
00:00:51
[เพลง]
00:00:57
นั้นอะไรเกิดขึ้นมาก็ให้เราสังเกต
00:01:02
ดูเห็นที่เกิดเห็นที่
00:01:06
ดับที่เรียกว่าปัญญาพิจารณาเห็น
00:01:11
สังขารปัญญาพิจารณาเห็นสังขารเป็นสิ่งที่
00:01:15
น่า
00:01:16
กลัวในปัญญาเห็นพิจารณาเห็นที่เกิดของ
00:01:21
สังขารและที่ดับของ
00:01:24
สังขารมันเกิดขึ้นมาจากสังขารทั้งหมดแล้ว
00:01:28
มันก็ดับลงไปที่ใจของเราทั้งหมดเกิดขึ้น
00:01:32
มาก็เกิดมาที่ใจแล้วดับไปที่ใจความรู้น่ะ
00:01:36
เป็นเราความรู้ว่ามันเกิดแล้วมันตั้งอยู่
00:01:40
แล้วมันดับ
00:01:42
ไปที่เราเห็นว่ามันดับ
00:01:44
ไปนั่นน่ะคือตัวของเราที่เป็นผู้รู้ว่า
00:01:48
มันดับแต่เราไม่ได้เป็นตัวเกิดและไม่ได้
00:01:51
เป็นตัว
00:01:52
ดับเราเป็นแค่ผู้รู้แค่นั้นพยายามเฝ้า
00:01:58
สังเกตตัวเองไปอะไรเกิดขึ้นมาก็ปล่อยมัน
00:02:02
ไปอะไรเกิดขึ้นมาเราก็ปล่อยไปอะไรเกิด
00:02:06
ขึ้นมาเราก็ปล่อยมันไปอย่าไปสนใจมันถ้า
00:02:10
เราไม่ให้ความสำคัญกับมันมันก็ไม่หนักที่
00:02:13
ตัวของ
00:02:15
เราถ้าเราไปให้ความสำคัญกับมันปุ๊บนี่
00:02:18
หนักทันทีแล้วก็หลงทันทีถ้าเราไม่ให้ความ
00:02:24
สำคัญแล้วจะไม่
00:02:26
หลงก็เหมือนกับไอ้
00:02:30
หมอทำฝ่ามือให้ดูหลังมือกับฝ่ามือแค่พลิก
00:02:35
แค่
00:02:37
นี้ชั่วขณะจิต
00:02:41
หนึ่งเราสามารถที่จะทำลายอาสวะกิเลสได้
00:02:45
ทั้งหมดในชั่วขณะจิตเดียว
00:02:50
ในจิตมันได้กำลังเต็ม
00:02:55
ที่ในระหว่างที่เราบริกรรมภาวนาหรือเรา
00:02:59
เห็นลมหายใจใจที่มันละเอียดขึ้นละเอียด
00:03:01
ขึ้นมันไม่มีลมหายใจเราอย่าไปตกใจไอการ
00:03:08
ที่ดูลมหายใจจะมีข้อเสียอยู่ที่ดูลมหายใจ
00:03:11
ไปแล้วพอมันไม่มีลมหายใจมันจะตก
00:03:16
ใจกลัว
00:03:19
ตายมันจะกลัวตายแต่เวลาเรานอน
00:03:25
หลับมันมีลมหายใจอยู่ไหม
00:03:29
อันนี้มันเกิดขึ้นจากการทำสมาธิภาวนาของ
00:03:32
เราต่างหากแล้วเราไปกลัวตายได้ยังไงแล้ว
00:03:36
เวลานอนหลับมาขี่ฟ้ากี่ปีมา
00:03:39
แล้วกี่วันกี่เดือนกี่ปีมาแล้วที่เรานอน
00:03:42
หลับไม่เห็นมันตายงั้นเรื่องแค่นี้มันจะ
00:03:45
ไปตายได้ยังไงปัญญาให้มาให้มัน
00:03:49
ทันส่วนมากแล้วปัญญามันมาไม่ทันในระหว่าง
00:03:54
จิตมันไอ้ลมมันละเอียดแล้วมันจะขาดไม่มี
00:03:59
ลมหายใจเพราะมันละเอียดจนกระทั่งว่ามัน
00:04:04
เป็นอากาศสธาแค่
00:04:07
นั้นเราก็เลยมองไม่เห็นมองไม่ทันมันหยาก
00:04:11
มันละมันละเอียดฉะนั้นมันจะละเอียดขนาด
00:04:16
ไหนก็ตามมันก็คือลมหายใจมันยังมี
00:04:19
อยู่ไม่ใช่มันหมดไปที่ไหนแล้วก็มันไม่ใช่
00:04:24
จะเป็นเรื่องเป็นเรื่องตายอันนี้เรื่อง
00:04:26
การทำสมาธิภาวนาต่างหากพุทธเจ้าก็กำหนดลม
00:04:30
หายใจนี้แหละก็ไม่เห็นท่านตายเราก็ทันกับ
00:04:35
เหตุการณ์เท่า
00:04:36
นั้นฉะนั้นตอนที่ลมมันละเอียดนี่ต้อง
00:04:42
ระวังปัญญาต้องมาพร้อมสติต้องมาพร้อมถ้า
00:04:47
ปัญญามาสติมาไม่เป็นไรไม่ต้องไปกลัว
00:04:52
ตายฉะนั้นพอกลัวตายแล้วบัดนี้จะทำภาวนา
00:04:56
ไม่ได้เลยพอภาวนาเข้าไปถึงจุดนั้นอีกก็จะ
00:05:00
สะดุ้งอีกหรือภาวนาไม่เป็นอย่างนั้นอีก
00:05:03
เลยฉะนั้นการทำสมาธิภาวนาต้องทำความเข้า
00:05:08
ใจกับตัว
00:05:09
เองเราศึกษาธรรมะคำสั่งสอนของพพุทธเจ้า
00:05:13
เราต้องศึกษาทั้ง
00:05:15
หมดเหมือนกับอาจารย์พูดถึงเรื่องของ
00:05:20
ช้างคนไปเห็นงวงช้างก็ว่า
00:05:23
ปิงคนไปเห็นงาช้างก็ว่าเลียวงามอื
00:05:30
คนไปเห็นเสาไอ้ขามันก็ว่าเหมือนเสา
00:05:35
บ้านคนไปเห็นข้างฝาไอ้ข้างไอ้สีข้างมันก็
00:05:41
ว่าเป็นฝาบ้านคนไปเห็นหางมันก็ว่าเป็นไม้
00:05:45
กวาดไม้กวาดที่เรากวาดไม้กวาดอ่อนอเห็น
00:05:50
หาง
00:05:51
มันแล้วตาบอดคำช้างมาทะเลาะกัน่ะบัดนี้
00:05:56
แต่ละคนก็มาพูดว่า
00:05:59
เราไม่ได้เห็นตัวช้างเราเห็นแต่ไม้กวาดไี
00:06:03
คนเห็นขาก็เห็นว่าแต่เสาบ้านกูไม่ได้เห็น
00:06:08
ช้างฉะนั้นอะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นมาใน
00:06:12
ระหว่างที่เราปฏิบัติหรือเราทำสมาธิภาวนา
00:06:16
อยู่นั้นให้เห็นเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา
00:06:20
เท่านั้นเห็นว่ามันเป็นทุกข์เมื่อเป็น
00:06:24
ทุกข์ก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเป็น
00:06:28
อนัตตาเอาไตรลักษณ์เข้าไปเกี่ยวข้องเอา
00:06:32
อริยสัจเข้าไปเกี่ยวข้องเราอย่าไปทิ้ง
00:06:36
อริยสัจเอา
00:06:38
นั้นอย่าไปทิ้งอริยสัจอย่าไปทิ้ง
00:06:41
ไตรลักษณ์อะไรมันเกิดขึ้นมาก็
00:06:44
ต้องน้อมเอาไตรลักษณ์เข้าไปเอาอริยสัจ
00:06:48
เข้า
00:06:48
ไปมันเห็นที่เกิดก็ต้องเห็นที่ดับ
00:06:53
นฉะนั้นมันจะเกิดมามากเท่าไหร่ก็เห็นที่
00:06:57
ดับมากเท่านั้น
00:07:00
อะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นมาเราก็เห็นแต่
00:07:02
ที่มันเกิดกับที่มันดับไม่เห็นมันตั้ง
00:07:05
อยู่ที่ตรงไหนเลยร่างกายของเรามันไม่มี
00:07:09
ที่ตั้งกับอารมณ์พวกนั้นพอร่างกายของเรา
00:07:14
มันสะอาดขึ้นมาแล้วมันตั้งไม่ได้อารมณ์
00:07:17
พวกนั้นก็มาตั้งไม่ได้มาตั้งไม่ได้มันก็
00:07:20
ไม่เป็น
00:07:21
ทุกข์ฉะนั้นวิธีการภาวนาวิธีการ
00:07:26
ปฏิบัติที่เราจะต้องทำก็เพราะเหตุที่ว่า
00:07:30
มันจะต้องเดินทางไปเส้นเดียว
00:07:33
กันก็คือชรา
00:07:36
คือพยาธิแล้วก็จะมรณะคือตายเหมือนกันอายุ
00:07:43
สั้นอายุน้อยอายุมากอันนั้นไม่เกี่ยว
00:07:46
เรื่องคมเป็นคมตายนี่ถือเป็นเรื่องธรรมดา
00:07:49
ของผู้
00:07:50
ปฏิบัติเมื่อถึงเวลาแล้วก็คือต้องไปถ้า
00:07:55
มันถึงเวลาแล้วก็ยับยั้งไม่ได้
00:07:59
หรือเกิดโลคาพยาธิรุนแรงขึ้นมาก็ต้องไป
00:08:05
เป็น
00:08:06
ธรรมดาฉะนั้นความเป็นธรรมดาอันนี้ไม่มี
00:08:10
ปัญหาแต่ใจเราขาดจากสิ่งต่างๆที่ถูกหุ้ม
00:08:18
ห่อจิตใจของเราคือทิฐิมานะอาสวกิเลสทั้ง
00:08:22
หลายมาหุ้มห่อจิตใจของเราไม่
00:08:25
มีเราอยู่ด้วยความสว่าง
00:08:31
เราอยู่ด้วยความสว่างเราอยู่ด้วยความ
00:08:35
สุขอยู่ด้วยความไม่
00:08:38
มีไม่มีอะไรที่จะมาให้ทำให้เราเดือดร้อน
00:08:42
จิตใจของเราไม่มีความเดือดร้อนนะเพราะเรา
00:08:46
อยู่ด้วยความสุขเราอยู่ด้วยปีติอยู่ด้วย
00:08:49
ความเอิบอิ่มของใจในภาคปฏิบัตินะฉะนั้น
00:08:55
การไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตามเราจะอยู่
00:08:58
ในศาลาหรือเราจะออกไปที่กุฏิหรือเราจะไป
00:09:00
อยู่ในบ้านในเมืองที่ไหนก็ตามในโลก
00:09:04
นี้เราเป็นผู้มีสติกับปัญญารอบรู้กัน
00:09:12
อยู่ฉะนั้นวิธีการปฏิบัติเราจะต้องทำความ
00:09:17
เข้าใจกับผู้
00:09:19
ปฏิบัติเราเป็นนักบวชเราเป็นผู้
00:09:24
ปฏิบัติเราทำตัวของเราให้มันเป็นสาวก
00:09:31
อริยสาวก
00:09:34
อริยะเราทำตัวของเราให้เป็นอริยะที่ไม่
00:09:38
ใช่สาวก
00:09:40
อก็คือเราไม่ได้บวชตามเสด็จพ
00:09:44
พุทธเจ้าแต่ถ้าเราได้บวช
00:09:48
หรือนุ่งเหลืองห่มเหลืองหรือนุ่งขาวห่ม
00:09:52
ขาวอันนั้นถือว่าเราได้บวชเป็นอริยสาวกอ
00:09:57
ฉะนั้นความเป็นพระสาวกมีอยู่ด้วยกันทั้ง
00:10:02
หมดควมเป็นพระสงฆ์ก็มีอยู่ด้วยกันทั้ง
00:10:07
หมดผู้ที่มาเลื่อมใสศรัทธาในพระไตร
00:10:13
สนคงด
00:10:16
เว้นสิ่งที่พพุทธเจ้าทรง
00:10:20
ห้ามปฏิบัติตามสิ่งที่พพุทธเจ้าทรง
00:10:23
อนุญาตอันนี้ชื่อว่าพระสงฆ์
00:10:27
นะไม่ได้บอกว่าว่าเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้
00:10:30
ชายนะชื่อว่าพระสงฆ์ได้ทั้ง
00:10:33
หมดจะเป็นสงฆ์แบบไหนมันจะเป็นสงฆ์
00:10:37
อริยสาวกหรือเป็นสงฆ์ที่ไม่ใช่
00:10:41
สาวกก็เป็นพระสงฆ์ด้วยกันนั่นฉะนั้นวิธี
00:10:46
คิดในตำราทางพระพุทธศาสนาเราต้องศึกษาให้
00:10:50
ท่องแท้ถ้าเราศึกษาไม่ต้องแท้แล้วโอทำไม่
00:10:55
ได้ไอ้นู่นไอ้นี่ไอ้นี่ไอ้นู่นมีข้อจำกัด
00:10:59
อะไรต่าง
00:11:03
ๆรวมไปถึงว่าถ้าได้เป็นพระอริยะแล้วนั่น
00:11:08
จะมี
00:11:09
อายุอยู่แค่ 7
00:11:12
วันแต่แท้ที่จริงน่ะพระอริยะมีตั้งมาก
00:11:19
มายอย่างอนาถปิณฑิกเศรษฐีนี่ก็เป็นพระ
00:11:25
อริยะนางวิสาขาเก็เป็นพระอริยนางสุปปวาสา
00:11:30
กุลธิดานี่ก็เป็นพระ
00:11:35
อริยะฉะนั้นวิธีคิดวิธีที่จะต้องมาจำกัด
00:11:41
ตัวเองแล้วไม่ยอม
00:11:44
เปิดมุมมองของตัวเองให้มันเป็นไปกับ
00:11:48
มรรคไม่ยอมเปิดมุมมองของตัวเองให้มันเป็น
00:11:51
ไปกับ
00:11:53
อริยสัจอันนั้นคือการกำจัด
00:11:59
พญามารมันมากีดกันไม่ให้เราเป็นไปกับ
00:12:05
มรรคเราไปเสียท่าพยามารพยามารมันมาอะไรก็
00:12:10
ตามที่มันจะมากีดกันเราได้ที่จะมาดึงให้
00:12:14
เราตกอยู่ในอบายภูมิได้พยามานมันเอา
00:12:18
หมดฉะนั้นวิธีการปฏิบัตินั้นเราจะต้อง
00:12:22
ศึกษาให้ถ่อง
00:12:25
แท้คนที่มีสติปัญญาระดับพระอริยะ
00:12:29
[เพลง]
00:12:31
มันจะถึงขั้นโง่ที่จะปล่อยให้ตัวเองตาย
00:12:34
เลยอันนั้นไม่
00:12:38
ใช่มันก็ต้องมีทางออกของ
00:12:41
มันไม่ใช่ว่าไม่มีทาง
00:12:45
ออกเส้นทางมันมีมากมายสำหรับที่จะไปเป็น
00:12:50
ทางออกของคนมีสติปัญญาไม่น่าจะไปจนตอกถึง
00:12:55
ขนาดที่
00:12:56
ว่าจะต้องมาปล่อยให้ตัวเองตายสิ้นซีพไป
00:12:59
โดยที่เปล่าประโยชน์ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร
00:13:02
เลยอันนั้นไม่
00:13:04
ใช่มันเป็นหลักการพูดหรือเป็นวิธีการต่าง
00:13:09
ๆแนวทางการปฏิบัติมีมาก
00:13:13
มายฉะนั้นวิธีการปฏิบัตินั้นเรา
00:13:19
อย่าตั้งข้อจำกัดตัวเองเราอย่ากีดกันตัว
00:13:24
เองจนเกินไปเราต้องเปิดตัวเองออกมา
00:13:29
รับรู้เรื่องภายนอกเขาบ้างภายในบ้างถ้า
00:13:34
เราไปรับรู้ตั้งแต่เรื่องภายในอย่างเดียว
00:13:36
โดยที่ไม่รับรู้เรื่องภายนอกเลยก็ไม่ใช่
00:13:39
เราจะรับรู้เรื่องภายนอกอย่างเดียวไม่รับ
00:13:42
รู้เรื่องภายในเลยก็ไม่
00:13:44
ใช่ไม่ใช่คำว่าโลกวิทูนะถ้าคำว่าโลกวิทู
00:13:50
คือรู้แจ้งในสรรพสิ่งทั้ง
00:13:53
หลายเราจะรู้ส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ไม่ต้อง
00:13:58
รู้ทั้งหมดก็ได้เราจะรู้ในบางอย่างที่เรา
00:14:03
ควรจะรู้จะเห็นก็ได้ไม่ได้มีปัญหาเลย
00:14:08
ฉะนั้นการปฏิบัติในส่วนที่จะเรื่องใหญ่
00:14:12
ที่สุดก็
00:14:14
คือเมื่อถึงเวลามันมีเวทนากล้าขึ้นมาี่
00:14:19
เราจะทำยังไงกับตัวของเราเราจะมีวิธีการ
00:14:23
หลบหลีกเวทนาพวกนี้ได้ยังไง
00:14:29
เวทนาจากทางกายหรือเวทนาจากทาง
00:14:34
ใจร่างกายมันกระ
00:14:37
[เพลง]
00:14:39
เพื่อมมันไม่เหมือนกับตอนที่เกิดมาใหม่ๆ
00:14:43
นะตอนเกิดมาใหม่ๆอวัยวะมันยังไม่
00:14:49
สมบูรณ์ความรู้สึกมันยังไม่สมบูรณ์เต็ม
00:14:52
ที่ถึงแม้อย่างนั้นมันก็ยังร้องไห้แวว
00:14:56
นั่นแต่บัดนี้ตอนตอนที่เราจะต้องจากโลก
00:15:00
นี้ไปบัดนี้อวัยวะมันสมบูรณ์หมดทุกอย่าง
00:15:04
ฉะนั้นเวทนามันต้องคนละอย่าง
00:15:07
กันกับตอนที่เราเกิด
00:15:10
อในเมื่อเวทนามันคนละอย่างกันนี่เราจะทำ
00:15:13
ยังไงกับตัวของเราเราจะข้ามเวทนาอันนี้
00:15:17
ด้วยรูปแบบ
00:15:20
ไหนมันจะต้องใช้สติปัญญา
00:15:25
อย่างเฉียบแหลม
00:15:29
มันจะต้องใช้สติปัญญาอันคม
00:15:33
กล้าถึงจะสามารถที่จะข้ามเวทนาพวกนี้ไป
00:15:37
ได้ถ้าเราปล่อยตัวเราให้มันไปตามลมพัดลม
00:15:41
เพเฉย
00:15:44
ๆมันก็ไม่ได้อะไรแล้วก็ไปนู่นไปนี่ไปนี่
00:15:49
ไปนู่นอยากมีแต่ความอยากเป็นกำลังอยู่
00:15:53
ตลอด
00:15:54
เวลาสุดท้ายมาก็หมดเวลา
00:15:59
พอหมดเวลาแล้วบัดนี้ถึงจากมาได้เวลาบัด
00:16:02
นี้มันมีหรือมันหมดไปแล้ว
00:16:07
เวลาเวลาที่มันมีอยู่ก็คือลมหายใจที่ยัง
00:16:10
มีอยู่พอลมหายใจหมดไปแล้วก็คือหมด
00:16:15
เวลามันไม่ได้บอกอายุนะบัลมหายใจมัน
00:16:20
หมดมันจะหมดด้วยรูปแบบไหนบัต
00:16:24
นะด้วยโลคาพยาธิหรือด้วยอายุไขยหรือหือ
00:16:29
ด้วยสิ้นกรรมหรือสิ้นทั้งกรรมทั้งอายุขัย
00:16:31
หรือ
00:16:36
อุปฆาตกรรม
00:16:38
แรงนั่นพอรู้ข่าวปุ๊บตาย
00:16:43
เลยรู้ข่าโลคาพยาธิมาตายแล้ว
00:16:48
นั่นฉะนั้นถึงว่าผู้ปฏิบัติในฐานะที่เรา
00:16:53
เป็นบริษัท
00:16:56
4 เราจะต้องพร้อมอยู่ตลอดเวลาในการ
00:17:01
ปฏิบัติพร้อมด้วยกายด้วยวาจาด้วยใจพร้อม
00:17:06
ด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลม
00:17:09
น่ะถ้าหากเราไม่พร้อมด้วยสติปัญญาอัน
00:17:12
เฉียบแหลมแล้วบัดนี้พอถึงเวลานั้นมาแล้ว
00:17:18
บัดเรามีการฝึกซ้อมตัวเองหรือยังว่าเราจะ
00:17:21
ไปหลบภัยอยู่ที่ไหนเมื่อเกิดมรสุมใหญ่
00:17:26
ขึ้นมา
00:17:29
เราจะไปหลบอยู่ที่ไหนได้เหมือนสถานที่หลบ
00:17:34
มันก็มีอยู่ที่อัปปนาสมาธิพอหลบได้
00:17:38
บ้างแต่ไม่ขาดเพราะอยู่ไม่ได้
00:17:43
ตามต้องการแต่ถ้าเราไปหลบอยู่ที่สัญญา
00:17:47
เวทยิตนิโรธ
00:17:50
มันถึงจะข้ามได้โดยเด็ด
00:17:54
ขาดฉะนั้นมันจะต้องทำงานของเราเพิ่มขึ้น
00:17:58
ไปอีกอีกเพิ่มขึ้นไปอีกเพิ่มขึ้นไป
00:18:01
อีกจากที่เราทำอยู่แล้วนี่เราจะต้องทำ
00:18:04
เพิ่มเข้าไปอีกให้มันมากขึ้นไปอีกนั่น
00:18:07
วิธีการทำงานของผู้
00:18:10
ปฏิบัติไม่ใช่ว่าจะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ
00:18:16
แต่ก่อนเคยเดินจมกรม 2-3 ชั่วโมงมาตอน
00:18:19
หลังมาเดินแค่ 10 นาทีหรือไม่ได้เดิน
00:18:23
เลยนั่งสมาธิก็เหมือนกันไม่ได้นั่งเลยกา
00:18:28
พะก็ไม่ได้กราบเลยพอกราบครั้งเดียวล่ะทำ
00:18:31
มือแบบๆๆๆแล้วก็ไปล้มลงไปเลยนั่นถ้าอย่าง
00:18:35
งั้นน่ะมันเจริญขึ้นหรือเจริญลงบก็ต้องทำ
00:18:39
ตัวเอง
00:18:40
ดูมันเจริญไปหาความเสื่อมหรือมันเจริญ
00:18:46
ขึ้นไปเพื่อความเจริญนั่นวิธี
00:18:50
คิดฉะนั้นเราจะต้องมีวิธีคิดในภาค
00:18:57
ปฏิบัติคำว่าผู้มีสติผู้มีปัญญาอันเลิศ
00:19:03
นั่นมันแตกต่างกันกับผู้ด้อยด้วย
00:19:08
ปัญญาผู้ถูกหุ้มห่อด้วยทิฐิมานะอาสวกิเลส
00:19:13
นั่นมันต่าง
00:19:15
กันฉะนั้นการปฏิบัติหรือการทำความเข้าใจ
00:19:19
ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัดนอกวัดหรืออยู่ที่
00:19:23
ไหนก็ตามใน
00:19:25
โลกถ้าสภาพจิตใจของเราเป็นไปกับธคือคำ
00:19:29
สั่งสอนของพระพุทธเจ้า
00:19:32
แล้วมันจะไม่มีปัญหาเลยไม่ได้มีปัญหาใน
00:19:36
การเข้ามาและออก
00:19:38
ไปจะอยู่ที่ไหนก็ได้ในการทำความ
00:19:44
เพียรเพราะเวลาเป็นของเราโดยแท้พอกลางคืน
00:19:49
มาแล้วนี่เวลาเป็นของเราโดย
00:19:53
แท้เมื่อเราเข้าห้องเราแล้วเราก็เป็นเวลา
00:19:56
เป็นของเราแล้ว
00:19:58
เราจะทำอะไรเราจะเดินหรือเราจะยืนเราจะ
00:20:01
นั่งหรือเราจะ
00:20:03
นอนในการทำความเพียรธได้ทุก
00:20:07
อริยบทเดินก็ได้ยืนก็ได้นั่งก็ได้นอนก็
00:20:12
ได้ไม่ให้มันเป็นอุปสรรคกับการ
00:20:18
ปฏิบัติฉะนั้นวิธีการปฏิบัติทุกวันนี้มี
00:20:22
แต่
00:20:23
อุปสรรคหาว่ามันไม่สงบหาว่ามันอย่างนู้น
00:20:27
อย่างนี้สารพัดที่จะหาแต่แท้ที่จริงข้อหา
00:20:32
เหล่านั้น
00:20:33
เพื่อลดความพากเพียรของตัวเองลง
00:20:38
อฉะนั้นไม่ได้ข้อหาต่างๆพวกนั้นเพื่อจะลด
00:20:43
ควมเพียรถือว่ามันเอ้ยวันนี้มันแดดวันนี้
00:20:48
มันร้อนวันนี้มันหนาวเอาไว้ก่อนนั่นเห็น
00:20:53
มั้ยเดี๋ยวถ้างั้นก็ตอนเช้าตื่นขึ้นมา
00:20:57
แล้วถึงมาทำตื่นขึ้นมาพระอาทิตย์ขึ้นมาก็
00:21:00
ไม่ได้สน
00:21:02
ใจฉะนั้นการปฏิบัติหรือการทำความเข้าใจ
00:21:06
พวกนี้จะ
00:21:09
ต้องมีความถ่องแท้ในตัว
00:21:15
เองมันมี
00:21:18
ตัวที่หุ้มห่อจิตใจของ
00:21:25
เราทิฐิมานะ
00:21:29
อาสวะกิเลสน้อย
00:21:32
ใหญ่มันหุ้มห่อจิตใจเราไว้ไม่ให้เห็น
00:21:40
ธรรมเราไม่
00:21:44
ยอมที่จะสลัดของเหล่านี้ออกไปจากใจของ
00:21:54
เราฉะนั้นการทำความเพียรก็เลยลำบาก
00:22:02
การที่เราจะรู้จะเห็นตามความเป็นจริงก็
00:22:05
รู้ไม่ได้เพะมันถูกปิดกั้นไว้ทั้ง
00:22:11
หมดมันมีอำนาจมาช้า
00:22:13
[เพลง]
00:22:19
นานมันเคยมีอำนาจในหัวใจเรามาช้า
00:22:25
นานอันนี้ก็นับว่าบุญอันหนึ่งที่เรา
00:22:30
หลุดออกมาได้ในบางอย่างที่มาวัดได้หรือมา
00:22:36
ปฏิบัติได้ก็นับว่าเป็นบุญอัน
00:22:41
หนึ่งที่เราตั้งใจที่จะนำพาตัวเองให้พ้น
00:22:48
วัฏฏะแต่การพ้นวัฏฏะมันมีอยู่หลายส่วน
00:22:53
ด้วย
00:22:56
กันคนแบบมีแรงเหวี่ยงหรือพ้นแบบเรียบง่าย
00:23:06
สบายมันมีพ้นแบบมีแรงเหวี่ยงก็
00:23:12
มีเพราะตอนที่จิตมันขาดจากสัญญาภาย
00:23:20
นอกมันหลุดเข้าไปอยู่ในสัญญาภายในมันจะมี
00:23:24
แรงเหวี่ยง
00:23:30
ฉะนั้นต้องอาศัยสติกับปัญญานั้นให้รอบรู้
00:23:34
กัน
00:23:36
อยู่เผลอสติไม่
00:23:42
ได้การที่มันมีแรง
00:23:48
เหวี่ยงฉะนั้นคนส่วน
00:23:53
หนึ่งไม่กล้าที่จะเสียสละลงไปก็กลัวแรง
00:23:56
เหวี่ยงอันนี้
00:24:02
คิดว่ามันจะเป็นอย่างนู้นเป็นอย่าง
00:24:06
นี้กลัวเสียก่อนยังไม่ได้ถึงที่
00:24:11
หมายเรากลัวตั้งแต่มันยังไม่มี
00:24:16
อะไรเพราะมันถูกหุ้มห่อไว้หมด
00:24:19
[เพลง]
00:24:21
แล้วฉะนั้นการ
00:24:26
ภาวนามันก็เลยเข้าแต่ได้
00:24:30
ยากทั้งๆที่เห็นอยู่แก่
00:24:36
ใจร่างกายของเรามันคอยพยศกับเราอยู่ตลอด
00:24:41
[เพลง]
00:24:43
เวลาเดี๋ยวก็โลคาพยาธิไอ้นู่นไอ้นี่มา
00:24:47
เยี่ยมอยู่ตลอด
00:24:48
[เพลง]
00:24:51
เวลาถูกกิ่นแปลกปลอมหน่อยก็จาม
00:24:56
นั่นถูกกิ่น
00:25:01
ใบไม้ใบหญ้าจามแล้วนั่นเห็นมมันมัน
00:25:07
พยศแล้วเรายังจะทนุถนอมมันไปถึงไหนวัน
00:25:12
นี้ถึงแม้เราทนุถนอมยังไงมันก็เป็นอยู่
00:25:16
อย่าง
00:25:17
นี้ร่างกายอัน
00:25:21
นี้เพราะร่างกายนี้มันไม่ได้อยู่ในบังคับ
00:25:24
บัญชาของ
00:25:26
ใขมันอยู่ตามธรรมะโดย
00:25:31
แท้ในเมื่อมันอยู่ตามธรรมะโดยแท้น่ะเรามา
00:25:35
ทำความเข้าใจกับธรรมะอันนี้ได้
00:25:38
มั้ยไม่
00:25:43
ได้เพราะถ้าหากเราจะกลับมาดูอยู่กับธรรมะ
00:25:47
โดยแท้นี่มันไม่
00:25:50
ได้เพราะมันถูกหุ้มห่ออยู่หมด
00:25:57
แล้วในเมื่อมันถูกหุ้มห่อจิตใจเราไว้หมด
00:26:01
แล้วบัดนี้นั่น
00:26:03
ปัญหาฉะนั้นการทำความเพียรก็
00:26:08
เลยไม่
00:26:10
เห็นทั้งๆที่ว่าทุกข์มันอยู่เต็มหัวอกมัน
00:26:16
ก็ยังบอกว่าไม่
00:26:17
ทุกข์มันจะบอกว่าไม่เห็นมันยังบอกว่าไม่
00:26:23
รู้อีก
00:26:28
ดูที่วิธีการคิดของมันไอ้ตัว
00:26:33
กิเลสตัวทิฐิมานะอาสวะกิเลสทั้งหลายมันมี
00:26:37
วิธีคิดของ
00:26:39
มันมันเสี้ยมสอนเราอย่างแนบ
00:26:46
เนียนไม่เหมือนกับธรรมะ
00:26:49
นะธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาแบบ
00:26:55
กระชากแต่กิเลสมันมาอย่างแนบ
00:27:00
เนียนมาอย่างสุขขุมลุ่ม
00:27:05
ลึกแต่ธรรมะประกาศก้องอยู่ตลอด
00:27:11
เวลาเราไปเชื่อธรรมะที่ไหนเราไปเชื่อ
00:27:14
กิเลสมากกว่าเชื่อ
00:27:16
ธรรมะวิธีการคิดของ
00:27:21
เราั้นถึง
00:27:27
ว่ามันจะขาด
00:27:30
ทุนก็เลยได้ตำราขึ้นมาว่ากบเฝ้ากอบัวกับ
00:27:36
ทัพพีเฝ้าหม้อ
00:27:41
แกงมันเลยได้ตำราอันนี้ขึ้นมาโบราณเเลย
00:27:46
ตั้งชื่ออันนี้ขึ้นมาอันนี้เป็นชื่อของ
00:27:49
โบราณเพูดกันมาช้านานแล้ว
00:27:55
นะ
00:27:57
ว่าเราอย่าเป็นกบเฝ้ากอบัวให้เป็น
00:28:02
ผึ้งมาเอา
00:28:05
เกสรแล้วก็จาก
00:28:07
[เพลง]
00:28:09
ไปหรือเป็นทัพพีเฝ้าหม้อแกง
00:28:15
นฉนั้นวิธีการคิดในภาคปฏิบัติเี่มันเป็น
00:28:20
สิ่งที่คำพังเพลยของคน
00:28:25
โบราณเขาผูกคำขึ้นมาสำหรับที่จะเสี้ยมสอน
00:28:30
ลูก
00:28:31
หลานให้มาเข้าใจในธรรมะคำสั่งสอนของพ
00:28:36
พุทธเจ้าเขถึงได้ผูกคำพังเพยขึ้นว่าอย่า
00:28:41
เป็นทัพพีเฝ้าหม้อ
00:28:43
แกงหรืออย่าเป็นกบเฝ้ากอบัวให้เป็น
00:28:48
ผึ้งมาเอาเกสรดอกไม้มาเอาน้ำหวานดอกบัวนะ
00:28:59
ฉะนั้นการ
00:29:02
คิดกับคำ
00:29:05
[เพลง]
00:29:09
โบราณวิธีคิดวิธีการ
00:29:13
ปฏิบัติในภาค
00:29:16
ปฏิบัติจะต้องกลับหลังมือเป็นหน้า
00:29:22
มือกับหน้ามือเป็นหลังมือ
00:29:28
ในภาคปฏิบัติมันถึงจะหลุดจากสังสารวัฏ
00:29:32
ของทิฐิมานะอาสวกิเลส
00:29:37
ได้จิตใจของเราจะต้องเด็ด
00:29:41
ขาดอะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิดอะไรจะตั้ง
00:29:44
อยู่ก็ให้มันตั้งอยู่อะไรจะดับไปก็ให้มัน
00:29:47
ดับไปเราเป็นผู้เห็นเราเป็นผู้รู้เท่า
00:29:51
นั้นนั่นในภาค
00:29:54
ปฏิบัติเราไม่ใช่เป็นคนเกิดคนดับ
00:29:59
เราเป็นแค่ผู้
00:30:02
รู้ว่าไอ้นี่มันเกิดขึ้นมาไอ้นี่มันตั้ง
00:30:06
อยู่ไอ้นี่มันดับ
00:30:08
ไปมันดับไปที่ไหนมันก็ดับไปที่มันรู้นี่
00:30:12
มันรู้อยู่ที่ไหนรู้อยู่ที่ใจแล้วก็ดับ
00:30:14
มันก็ดับไปที่ใจของเรา
00:30:18
เี่มันเกิดมาก็เกิดขึ้นมาที่ใจของเรามัน
00:30:23
หลงก็หลงอยู่ที่ใจของ
00:30:25
เราเราไม่ได้ไปหลงอยู่ที่ใจคน
00:30:34
อื่นฉะนั้นการปฏิบัติการทำความเข้าใจกับ
00:30:40
ธรรมะคำสั่งสอนของพระ
00:30:47
พุทธเจ้ามัน
00:30:49
ไม่ง่ายแล้วก็มันก็ไม่ยากจนเกินไปสำหรับ
00:30:53
คนมีสติปัญญา
00:30:59
แต่มีสติปัญญาเสียว
00:31:04
เปล่ามีปัญญาสติมีสติปัญญาเสียเปล่าโดย
00:31:09
ที่ไม่ได้มาใคร่วญไต่ตองอะไร
00:31:13
เลยว่าไปตามสติปัญญาของพญามารซะ
00:31:19
อีกการที่เราจะหลุดจากบ่วงของมารไม่ง่าย
00:31:24
อย่างที่คิด
00:31:29
เราถึงจะหลุดของบวกของมารออกไปได้
00:31:34
นะเราจะต้องเป็นคนเด็ด
00:31:40
ขาดหักแต่ไม่
00:31:47
งออะไรก็ตามหักก็ให้มันหักไปเลยไม่ต้อง
00:31:52
งอถ้าเราจับเข้าไปแล้วถ้ามือเราไม่ขาดก็
00:31:56
ของนั้นมันต้องขาดติดมือเรามา
00:32:01
อถ้าจิตใจมันห้าวหาญขนาดนั้นได้ไอ้ทิฐิ
00:32:08
มานะอาสวกิเลสมันไม่มาอยู่หรอกมันไป
00:32:16
แล้วฉะนั้นการพาก
00:32:19
ปฏิบัติการทำความเข้า
00:32:22
ใจเราต้องทบทวนดูหลายๆอย่าง
00:32:31
เราไม่ต้องไปกลัวว่ามันขาดแล้วมันจะมีแรง
00:32:34
เหวี่ยงหรือมีอะไรก็ตามเราอย่าไปสน
00:32:38
ใจถ้าเราอยู่ในสติปัญญาศรัทธาความเพียร
00:32:42
ของเราแล้วนั่นมันไม่ไป
00:32:44
ไหนมันจะเหวี่ยงไปไหนก็ให้มันเหวี่ยง
00:32:48
ไปมันจะหลุดออกไปนอกโลกก็ให้มันหลุดออก
00:32:53
ไปเพราะเรารู้อยู่แค่นั้นเองเราใช้ความ
00:32:57
รู้อย่าง
00:32:58
เดียวเรียกว่าสติกับปัญญารอบรู้กันอยู่นะ
00:33:03
มันจะเกิดอะไรขึ้นมาในระหว่างที่เรา
00:33:06
ปฏิบัติเราก็ไม่ได้ลงไปสน
00:33:08
ใจเพราะเราตั้งสติกับปัญญาของเราให้มัน
00:33:13
เด่นไว้เด่นไว้เด่นไว้แค่
00:33:16
นั้นอะไรเกิดขึ้นอะไรตั้งอยู่เราก็ต้อง
00:33:20
รู้ไปแค่นั้น
00:33:23
นะถึงไหนถึงกันไปไหนไปกันตายไหนตาย
00:33:29
[เพลง]
00:33:30
กันมันถึงจะ
00:33:33
[เพลง]
00:33:41
ขาดเราพยายามรักษาความดีที่มี
00:33:48
อยู่เราจะรักษายัง
00:33:52
ไงเราจะดูแลตัวเองยังไงเราจะปรับปรุงตัว
00:33:58
ของเรายัง
00:34:02
ไงเรารบเราต้องได้ชัยชนะมีอยู่แค่
00:34:08
นั้นแพ้ก็เพื่อ
00:34:13
ชนะเราจะลบแพ้เราก็ต้องเพื่อความชัยชนะใน
00:34:17
ภายหลังถ้าเราได้ชัยชนะในครั้งแรกั้งหลัง
00:34:22
มาเราก็ได้ชัยชนะไปนี่คือการตั้งสติ
00:34:28
ควบคุมตัวเอง
00:34:33
อยู่อะไรมันเกิดก็รู้อะไรมันไม่มีก็
00:34:37
รู้สุดท้ายมาอันนี้ถ้าทำแบบนี้จะไม่มีแรง
00:34:45
เหวี่ยงทำไปทำไปทิ้งไปทิ้งไปทิ้งไปทิ้งไป
00:34:50
รู้แล้วก็ทิ้งรู้แล้วก็ทิ้งอันนี้จะไม่มี
00:34:54
แรงแรงเหวี่ยง
00:34:59
เพราะปัญญามันสมบูรณ์อยู่ตลอด
00:35:02
เวลาไอ้ที่มีแรงเหวี่ยงเพราะเหตุที่ว่าส
00:35:07
ปัญญามันไม่สมบูรณ์ในช่วง
00:35:09
นั้นมันก็แต่ปัญญามันเสียบแหลมจริง
00:35:14
อยู่แต่มันไม่สมบูรณ์ตลอดไปแต่ตอนที่เรา
00:35:19
ทำไปทิ้งไปทำไปทิ้งไปเหมือนกับว่าเราเดิน
00:35:22
จงกรมชั่วโมงหนึ่งไม่มีอะไรก็ที่มันไม่มี
00:35:26
นั่นแหละคือมันมี
00:35:30
ที่เรานึกพุทโธพุทโธน่ะมันก็มีอยู่แล้วน
00:35:33
นั่นน่ะที่ว่าเราไม่มีเรารู้ว่ามันไม่มี
00:35:35
ว่าพุทโธนั่นยังไงเรารู้
00:35:40
อยู่นี่คือปัญญามันทันมั้ยถ้าปัญญาไม่ทัน
00:35:46
มันก็เหมือนกับว่าเราทำแล้วไม่ได้
00:35:49
อะไรควมเข้าใจแต่จริงๆเราได้
00:35:57
เราได้อะไรเราได้เห็นของที่มันไม่มีกับ
00:36:01
ของที่มันมีมันแตกต่างกันในระหว่างที่มัน
00:36:06
มีไอ้นู่นมีไอ้นี่เกับระหว่างที่มันไม่มี
00:36:09
อะไรนี่มันจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง
00:36:13
ฉะนั้นมันจะตรงกันข้ามตลอดเวลากับความรู้
00:36:16
สึกของ
00:36:18
เราเราว่าเราไม่ได้เราไม่เห็นเราไม่
00:36:23
รู้ก็คือเรารู้
00:36:27
เรารู้อะไรเรารู้ว่าเรามีสติแต่เราบอกไม่
00:36:31
ว่าเราไม่
00:36:34
รู้เรารู้ว่าไม่มีอะไร
00:36:38
เกิดไม่เห็นได้อะไรในการทำสมาธิ
00:36:44
ภาวนาก็เราได้ทำนัยังไงเราได้เห็นยังไง
00:36:48
ว่ามันไม่ได้อันนั้นคือประเสริฐสุดแล้ว
00:36:52
เห็นว่ามันไม่ได้
00:36:54
อะไรเพราะจริงๆแล้วมันคือมันไม่มีอะไรสัก
00:36:59
อย่างใดอย่าง
00:37:00
หนึ่งที่จะยึดมาเป็นสมบัติของเราโดยแท้
00:37:04
มันไม่มีเพราะความ
00:37:08
รู้เพราะมันมีแต่ความรู้อัน
00:37:12
เดียวจริงๆแล้วถ้าหากเรารักษาแต่ความรู้
00:37:15
อันเดียวเท่า
00:37:18
นั้นอะไรเกิดขึ้นเราก็รู้อยู่อะไรตั้ง
00:37:21
อยู่เราก็รู้อยู่อะไรดับไปเราก็รู้อยู่
00:37:24
แล้วเราไม่ได้เป็นคนเกิดแล้วเราไม่ได้
00:37:26
เป็นคนดับ
00:37:28
เราเป็นแค่ผู้รู้เฉยๆมันแตกต่างกันในการ
00:37:34
ทำสมาธิภาวนานี่คนมันหลงในอารมณ์ตัว
00:37:38
เองพอมันเข้าไปหลงในอารมณ์ตัวเองแล้วบัด
00:37:42
นี้ก็เลยว่าเราเป็นผู้ได้เราเป็นผู้รู้
00:37:46
เราเป็นผู้
00:37:48
เห็นทั้งๆที่เราอ่านจากตำรับตำรามาต่าง
00:37:51
หากตำรับตำรานั้นก็มาจากความคิดหรือจาก
00:37:54
สังขารของคนอื่นทั้งนั้นนะ
00:37:58
แต่มันเคยไม่เคยเกิดขึ้นมาในสังขารของเรา
00:38:01
ในตัวของเราเราไม่
00:38:04
รู้เราก็เลยอยู่ด้วยความไม่
00:38:09
รู้คือไม่รู้นั่นคือเราหลงในความรู้ของ
00:38:13
เรา
00:38:19
[เพลง]
00:38:26
น y
00:38:29
[เพลง]